วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เดินมาไกลจนรู้ว่ามันเหนื่อย ...ไม่ได้หมดรัก แต่หมดแรง ...


 อีโมติคอน frown อีโมติคอน frown 
เดินมาไกลจนรู้ว่ามันเหนื่อย...

ไม่ได้หมดรัก แต่หมดแรง


..น้ำชา...

Because You Love Me!! ..



Because You Love Me!! ..


อยากจะขอบคุณ .. ที่รู้ใจเข้าใจ สิ่งดีดีที่ให้มา

อยากจะขอบคุณ .. ที่สัญญาว่าใจ ไม่มีวันห่างเหิน


กับคนหนึ่งคน ที่ไร้วันเวลา หมดกำลังจะก้าวเดิน

จากคนที่เคย เจ็บเหลือเกินที่ใจ ..

.. กลับกลายเป็นเบิกบาน //^_@


วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

“คนมีเงินซื้ออะไรก็ได้ แต่ถ้าใจมันเจ็บแล้ว อะไรก็ซื้อไม่ได้"



“คนมีเงินซื้ออะไรก็ได้ แต่ถ้าใจมันเจ็บแล้ว อะไรก็ซื้อไม่ได้"
- เมย์ พิชญ์นาฎ -

http://www.thairath.co.th/content/502099

ก ลั บ ม า แ ล้ ว . . . กลับมาอยู่ตรงนี้แล้วที่รัก


ก ลั บ ม า แ ล้ ว . . .
กลับมาอยู่ตรงนี้แล้วที่รัก

วัฏจักรเดิมเดิมแต่เริ่มต้น

ที่ย่ำย่างทางไกลในวกวน
สู้ดั้นด้นค้นหาใฝ่คว้าใด?

ไม่มีเลยสักนิดติดมือมา

มีแต่ความอ่อนล้าเจ็บคราใหม่

ก้าว ล้ม ลุก ล้ม ลุก คลุกคลานไป
วันนี้ลุกไม่ไหวใจเซซัง

กลับมาอยู่ตรงนี้แล้วที่รัก

ช่วยเป็นหลักประหารคนสิ้นหวัง

ทุกสิ่งหมายหายวับดับภินท์พัง
คืนกลับมาตายรัง ดังนี้แล้ว

อีโมติคอน smile
cr. นุ จิตราลักษ์ on FB

เจ็บซ้ำๆ ก็ไม่ได้ทำให้เราแย่เสมอไป


เจ็บซ้ำๆ ก็ไม่ได้ทำให้เราแย่เสมอไป


เมื่ออาทิตย์ก่อน เห็นข่าวนี้ จอห์น แนช นักคณิตศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบล และเจ้าของเรื่องจริงที่กลายมาเป็นหนังเรื่อง Beautiful Mind หนังที่รักมากๆ อีก 1 เรื่อง อัจฉริยะกับคนบ้าห่างกันแค่เส้นบางๆ เคยได้ยินประโยคนี้อยู่บ่อยๆ เขาเป็นอัจฉริยะ คิดคำนวณสูตรต่างๆ ได้อย่างมากมาย แต่ก็ป่วยและมีภาวะทางจิตขั้นรุนแรง ไม่ว่ายังไงภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากก็ยังอยู่ใกล้ๆ ดูหนังแล้วน้ำตาซึม การรับมือกับคนที่ป่วยทางจิตไม่ใช่เรื่องง่าย รัสเซลล์ โครว์ และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ รับบทนี้ได้ดีเหลือเกิน เท่าที่ดูจากประวัติหลังจากแต่งงานไม่นาน จอห์น แนช มีอาการป่วยทางจิตรุนแรงขึ้น จนภรรยามีอาการเครียดและต้องเข้ารับการบำบัดจิตเช่นเดียวกัน ทั้งคู่เลยหย่าร้างกันไปเพราะรับไม่ไหวกับสภาพอารมณ์ แต่ก็ยังติดต่อกัน ไม่ขาดจากกันไปไหน  

จอห์น แนช รักษาตัวจนอาการดีขึ้น ทั้ง 2 เลยกลับมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันใหม่...ต้องใช้ความรักมากมายขนาดไหนถึงจะรับได้ และพยายามดูแลผู้ป่วยคนที่เรารักอย่างสุดใจ ล่าสุด จอห์น แนช เจ้าของเรื่องเสียชีวิตพร้อมกับภรรยาค่ะด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในขณะที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ คนขับเสียการควบคุมพุ่งชนราวที่กั้นถนนข้างทาง แรงกระแทกทำให้ทั้ง 2 คน กระเด็นออกมานอกรถเสียชีวิตในวัย 86 ปี และภรรยาอายุ 82 ปี เสียใจกับครอบครัวของทั้ง 2 ด้วยนะคะ ยังมาคิดต่อว่าถ้าเราคือคนที่อยู่ในรถพร้อมคนที่เรารัก หากเลือกได้เราขอเลือกหยุดลมหายใจไปพร้อมกันแบบนี้ ยังโชคดีกว่า จำภาพการจากลาที่เจ็บปวดนี้ไปตลอดชีวิต แต่ก็ได้แค่คิดค่ะ ใครจะไปเลือกได้ว่าเราควรตายตอนไหน เราทำได้แค่มีลมหายใจอยู่ถึงเมื่อไหร่  ก็ทำทุกอย่างเต็มที่อย่างดีที่สุด  

สิ่งที่เราได้เห็นจากในหนัง มันยืนยันว่า รักแท้ๆ มีอยู่จริง อย่าทิ้งความเชื่อนี้ บางคนคิดไปแล้วว่า รักดีๆ มีอยู่แต่ในนิยาย เพราะได้ยินแต่เรื่องมากมายที่เราถูกทำร้ายจากคนที่เรารัก อย่างน้องคนนี้ที่ส่งคำถามเข้ามา   
 
   
"พี่อ้อยคะ หนูไม่เคยสมหวังเรื่องความรักเลย จนตอนนี้หนูไม่กล้าที่จะรักใคร หนูเคยแต่งงานค่ะ แต่งงานกันได้ 1 ปี เขาก็ขอหย่า   บอกว่าเรื่องของเราจบลงแล้วนะ ที่แต่งมาเพราะแม่ของเขาชอบหนู แต่พอทนอยู่ด้วยกันแล้วมันอยู่ไม่ได้จริงๆ พอเวลาผ่านไปก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต เขาทำให้หนูอยากเริ่มต้นใหม่ แต่สุดท้ายก็ทิ้งหนูไปคบคนอื่น โดยที่หนูไม่รู้ว่าหนูผิดอะไรค่ะ หนูควรทำยังไงต่อไป หรือควรหยุดคิดเรื่องความรักไปเลยดี" 

แหม...ชีวิต มันก็ไม่ได้กำหนดกันง่ายๆ แค่นี้นะ เห็นมาเยอะค่ะ "พอละ ไม่เอาแล้ว เข็ดๆ" ไม่กี่เดือนต่อมามีคนใหม่ละ ไม่เห็นเข็ดจริงเลย ความรักมันน่าสนใจตรงนี้ ตอนที่มี นอกจากทุกข์มันซ่อนความสุขมากๆ อยู่ในนั้น บางคนเจอเรื่องหนักกว่านี้ตั้งมาก ก็ยังอยากมีความรักต่อไป โลกนี้ยังมีคนอีกมากมายให้เราได้เรียนรู้ แค่ต้องดูให้ดีกว่าที่ผ่านๆ มา แต่ถ้าดูก็แล้ว เช็กแล้ว ก็ยังเลือกคนผิดมาใช้ชีวิตคู่อีก คราวนี้ให้คิดไปเลยว่าไม่เป็นไร ผ่านมาหนักๆ ตั้ง 2 ราย ยังไม่ตายเลย แย่ที่สุดก็กลับไปร้องไห้คล้ายๆ เดิม แต่ที่เพิ่มคือสติและความแข็งแกร่งของหัวใจ    
 
ได้คุยกับพี่สาวคนหนึ่ง อายุ 45 ปีแล้วค่ะ พี่ขอมาร่วมรายการ Club Friday Show ทาง GMM 25 ในชื่อตอน "ไม่ว่ารุ่นไหน ปัญหาใจใหญ่เสมอ" ความรักครั้งแรก คบกับผู้ชายคนหนึ่งมา 15 ปี รักกันดีมาตลอด แต่แล้วก็ไปไม่รอด เพราะเขามีคนอื่น ยังกลับมานั่งนึกว่า     ดูใจกันมาตั้ง 15 ปี ไม่ว่าใครก็ต้องคิดแล้วว่า คนๆ นี้เราคงใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกันแน่ๆ แต่รักแท้ๆ มันบอกเราว่าไม่มีอะไรแน่นอน 15 ปีกับหัวใจที่พังไม่มีเหลือ  เดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปจนกระทั่งได้เจอผู้ชายอีกคน คนนี้มาคบกันแบบระวังตัวและหัวใจ คิดไว้ตลอดว่าคนก่อน 15 ปียังทิ้งกันเลย นับประสาอะไร แต่โจทย์ใหม่ที่วัดใจเขาได้ก็เป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้กัน เราตรวจเจอว่าเป็นลูคีเมียค่ะ ร่างกายอ่อนแอ เข้าออกรพ.เป็นว่าเล่น เขาคือคนที่อยู่ข้างๆ มาตลอด ดูแลกันอย่างดีทั้งร่างกายและจิตใจ 4-5 ปีผ่านไป ก็เริ่มหาย แค่ต้องควบคุม ต้องทานยาและพบหมอต่อเนื่องหน่อย  

พออาการค่อยๆ ดีขึ้น เขากลับกลายเป็นคนที่ขอถอยห่าง อ้างว่าที่ผ่านมาเขาได้พยายามทุกอย่างแล้วแต่เราไปกันไม่ได้จริงๆ...ร้องไห้อีกแล้วค่ะ น้ำตามากมายที่ร่างกายสร้างใหม่ได้เรื่อยๆ หัวใจเท่ากำปั้นของเราโดนทุบบ่อยๆ มันก็ไม่ค่อยไหว อะไรจะถูกทำร้ายซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้ ไม่มีใครตั้งใจหลอกค่ะ ตอนรักเขาก็รักจริง ตอนทิ้งก็ไม่ได้โกหก เมื่อความรักจบ แต่ลมหายใจยังมี ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปให้เต็มที่ที่สุด  

                 
มาถึงผู้ชายอีกคน เจอกันในเกมออนไลน์ค่ะ เราปลอมรูป ปลอมตัวเข้าไปเล่น อายุเกือบ 50 ปี ใช้รูปน้องสาวบอกว่าเป็นเรา อายุ 28 ปี จนไปเจอผู้ชายคนหนึ่งอายุ 20  ปี เล่นเกมกันไป คุยกันไป จากเจอกันหน้าจอก็ขอเบอร์โทรคุย รับรู้ทุกเรื่องของกันและกัน ความรักช้ำๆ 2 ครั้งที่ผ่านมา สอนหัวใจเราว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่น แค่ไหนก็แค่นั้น อายุขนาดนี้จะมีใครมารักจริง น้องเขาอายุ 20 เอง เรื่องแปลกคือทั้งคู่อยู่กาญจนบุรีเหมือนกัน แต่ฝ่ายหญิงโกหกว่าอยู่เชียงใหม่ มาจับได้ตอนต่างฝ่ายต่างชวนกันดูดาว เธอเห็นดาวดวงนั้นไหม ดวงไหนล่ะ ดวงที่สุกสว่างทางซ้ายมือเหรอ ผู้ชายก็งง ทำไมเราเห็นดาวในมุมเดียวกัน ความเลยแตก ผู้หญิงขอโทษทุกสิ่งและเล่าความจริงทั้งหมด

เขาขอมาเจอ ผู้หญิงก็ตกลงทั้งที่ในใจปลงแล้วว่า อายุขนาดนี้ น้ำหนักขนาดนี้ เขาเจอเดี๋ยวเขาก็ต้องไป บอกทางกันเรียบร้อย พอเจอหน้ากันเข้า เขาเดินเข้ามากอด แล้วบอกว่า ดีใจที่ได้เจอกันจริงๆ ซะทีนะ สิ่งที่เคยกลัวว่าเราแก่ เราอ้วน เขามองข้ามไปถึงหัวใจข้างใน และสิ่งที่เพิ่งมาจับได้คือผู้ชายอายุแค่ 16 ค่ะ ไม่ถึง 20 รวมอายุที่ต่างกันทั้งหมดคือ 30 ปี วันนี้ยังรักกันดีค่ะ พ่อแม่ฝ่ายผู้ชายก็ยินดี ดูแลความรักที่มีกันไป ยังถามเลยว่ากลัวไหม ว่ามันจะจบไม่ต่างจากเดิมอีก เขาตอบว่า ไม่ค่ะ แค่ได้ใช้เวลาเรียนรู้กันมันก็มากพอแล้ว ผู้หญิง 45 กับผู้ชายอายุ 16 ตกหลุมรักกัน ไม่ว่าใครจะมองยังไง ใจคน 2 คนเท่านั้นที่รู้  

ชีวิตคน กับความรักมันเหมือนกันตรงนี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะหมดอายุเมื่อไหร่ อายุใจกับอายุขัยอะไรจะหมดไปก่อน เมื่อไม่รู้ข้างหน้าก็มองหาสิ่งดีๆ ในวันนี้ จะเจ็บมากี่ทีมันก็แค่ความรักครั้งหนึ่งที่ผ่านไป จะมัวท้อทำไม พรุ่งนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกตั้งเยอะ ไม่ได้บอกว่าเจ็บครั้งนี้ ครั้งหน้าจะไม่โดนอีกนะคะ แต่ถ้าเจ็บอีก ล้มอีก เราก็รู้แล้วล่ะว่า ควรลุกยังไง หรือล้มท่าไหน จะกระแทกหัวใจน้อยที่สุด      
ดีเจพี่อ้อย
http://www.thairath.co.th/content/501816

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

That's life



เมื่อทุกวันคือการรอคอย

โดย น้าเน็ก 27 พ.ค. 2558 05:35


แต่ก่อนเบื่อมาก เวลาเจอใครมาเชิดหน้าและยิงคำถามใส่ รู้ไหม ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน

ดูฉลาดมากเลยจ้ะ ร้อยทั้งร้อย ณ ตอนนั้นอีคนถามก็ไม่รู้ คือถึงรู้ก็ไม่แน่ใจ เป็นประเด็นที่ทำให้ผู้คนพยายามวิเคราะห์ตบตีกันมาตลอดหลายยุคสมัยเพื่อหาข้อสรุป และข่าวว่าล่าสุดโลกได้ปิดคดีนี้ไปเรียบร้อยแล้วด้วยใช่ไหมครับ ซึ่งถ้าอยากทราบรายละเอียด กรุณาเสิร์ชต่อเองในกูเกิลครับ

นั่นคือรูปแบบของปัญหาโลกแตก สองสิ่งที่เกิดมาจากเหตุการณ์เดียวกัน ต่างแค่ช่วงเวลา

จนไม่นานนี้ ผมก็เพิ่งขุดเจอปัญหา (เกือบ) โลกแตกตัวใหม่ โดยหลังทดลองถามไถ่เพื่อนฝูง ญาติเชื้อไปสองสามราย พบว่าทุกฝ่ายมีอาการสูดลมหายใจลึกๆ มองบน ลูบคางพร้อมใช้ความคิดหนักราวแปดอึดใจก่อนตอบ คำถามนั้นคือ

ท่านคิดว่าเวลาขณะกำลังรอ กับเวลาเมื่อสิ่งที่รอได้ผ่านไปแล้ว คนน่าจะชอบตอนไหนมากกว่ากัน…สามารถอ่านทวนซ้ำได้จนกว่าจะเข้าใจครับ เพราะนี่ก็เริ่มสงสัยละว่าเขียนภาษามนุษย์หรือเปล่าวะ ทำไมเข้าใจยาก
คือยังงี้ คำว่ารอคอย มักถูกโยงไปสู่เรื่องระยะเวลา นาน ไม่ดี ต้องทน ประมาณนี้ เป็นคีย์เวิร์ดที่ฟังดูไม่ค่อยโอเค เหมือนชีวิตจะช้า ติดขัด มีแต่การโหยหาตลอดไม่จบสิ้น ซึ่งความจริงก็ไม่ถึงขนาดนั้น ตารางประจำวันทุกคนต่างคลุกคลีกับการรอคอยเสมอ แค่อาจไม่รู้ตัว รอเวลาไปเรียน รอให้ร้านกาแฟเปิด รอเข้าห้องน้ำ รอถึงตอนเลิกงาน รอรถไฟฟ้า รอจ่ายเงิน รอสายสนทนา รอเธอบอกคำว่ารัก (หวายยยยยๆๆ) 

ผมไม่ได้พยายามจะชวนคนอ่านหันมามองมุมกลับ ปรับมุมมองให้ลำบากแต่อย่างใด แบบว่าการรอคอยเนี่ย มันไม่แย่หรอกนะพวกเรา เพราะขึ้นอยู่กับว่ากำลังรอเรื่องอะไร แต่เป็นแค่การตั้งข้อสังเกตเล่นว่าเออ แปลกดี เป็นสิ่งที่ต้องอยู่ด้วยทุกวันและทั้งวันแท้ๆ แต่ดันมีความรู้สึกต่อคำว่า “รอคอย” ไม่เท่ากันในแต่ละช่วง

ในมุมของคนที่เลือกว่าชอบตอนกำลังคอยมากกว่า ถามว่าดียังไง เหตุผลคือ มีไฟ

เดิมทีอาจใช้ชีวิตอย่างซบเซา จืดชืด ตื่นเช้าก็มาทำงาน คุยกับเพื่อน กินข้าว เลิกงาน กลับบ้าน ดูละคร นอน อูดอืดซ้ำเดิม แต่การรู้ตัวว่ากำลังรอคอยบางสิ่ง ก็เหมือนตัวช่วยกระตุ้นประเภทหนึ่ง แอ็กทีฟ อยากลุกออกไปทำนั่นนี่ มีประเด็นให้สมองตื่นตัวบ้าง เช่น นางสาวเงาะกาปฏิทินไว้ สองเดือนข้างหน้าเงาะจะไปญี่ปุ่น ตั๋วถูกเหลือเกิน ไม่ได้การ แบบนี้ต้องลาพักร้อนสักสามอาทิตย์ นับแต่นั้นมา เงาะจึงมีความสุขกับการเช็กกระทู้พันทิปทุกวัน ค้นคว้าทำการบ้านที่กินที่เที่ยว รวมถึงกระตืนรือร้นกับงานมากขึ้นผิดหูผิดตา ไม่ซึมๆ ซีดๆ อีกต่อไป เพราะมีเป้าหมายที่น่าสนุกรออยู่ (ไม่แน่ใจว่าถ้าเปลี่ยนจากเที่ยวมาเป็นโบนัส อีเงาะจะยังเบิกบานเท่านี้ไหม)

อีกเดือนกว่าๆ คนรักที่ไปเรียนต่อโมซัมบิกก็จะกลับมา ตื่นเต้นและตั้งตารอมาก ไม่ได้เจอตั้งสามปี ทำอะไรเซอร์ไพรส์ดี จัดบ้านใหม่ดีไหม หรือหัดทำอาหารเตรียมไว้ ซื้อดอกไม้ร้านไหน ตัดผมใหม่ดีกว่า เป็นพลังงานด้านบวกที่หลั่งไหลออกมาขณะรอ

ยังไม่นับกรณีคอยว่าเมื่อไหร่จะปิดเทอม รอวันไปดูคอนเสิร์ต รอวันเรียนจบ บลาๆ คือพอช่วงดังกล่าวมาถึง เรามีความสุข สมหวังก็จริง แต่เป็นธรรมดาเมื่อสิ่งที่เฝ้าคอยด้วยใจจดจ่อมันผ่านไปแล้ว จบแล้ว อาการที่ตามมาเสมอคือ หง่าว เหงา ฟินตกค้าง อยากหยุดโลกเพื่ออยู่กับเวลานี้ไปนานๆ เพราะแฮปปี้มาก 

หลายคนพอกลับถึงบ้านจะแอบทำหน้าเซ็งๆ หลังทริปเที่ยวสิ้นสุดลง ยิ่งตอนโกยเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าก็ยิ่งห่อเหี่ยว ความลั้นลาเป็นคนละส่วนกับความเหี่ยวที่เกิด คิดถึงพันกว่าโค้งที่ปาย คิดถึงภูเขา ขอเที่ยวตลอดไปได้ไหม (คนเป็นไกด์ส่ายหน้ารัวๆ ไม่เห็นเคยมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวเลย)

สองชั่วโมงในอิมแพคอารีน่ากับโอปป้ามันไม่เพียงพอต่อความคิดถึง อุตส่าห์รอมาตั้งสิบปี อยากดูถึงเช้าเลยได้รึเปล่า อยากเต้นให้ขาหัก ยังร้องเพลงไม่หนำใจ

หรือพอถึงวันที่แฟนกลับมาจริง (อีโมซัมบิกนั่นแน่ๆ) ปรากฏสถานการณ์ไม่ชื่นมื่นตามคาด ที่เซตไว้เซอร์ไพรส์ไร้ความหมาย คนรักไม่ตื่นเต้นเลย เสื้อผ้าหน้าผม บ้านช่องที่ตกแต่งถูกมองผ่านไป (คือตลอดสามปีไม่มีสิ่งไหนน่าตื่นใจเท่าการล่าเสือดาวกินอีกแล้วนั่นเอง) ถ้าดังนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าช่วงที่รอคอยนั้นดีกว่ากันเยอะ

อ่าห์ … กรณีตัวอย่างของเราสนุกสนานและเซอร์เรียลมากมายครับ

ขณะที่คนอีกกลุ่มมองว่า ชอบตอนสิ่งที่คอยมันผ่านไปแล้วมากกว่า … มักเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีความสุขระหว่างรอ อึดอัด กดดัน สารพัดอารมณ์ด้านแย่ จนมั่นใจว่าเมื่อตอนนั้นมาถึง มันจะเปรียบเสมือนการปลดปล่อย กูต้องสุขกว่าปัจจุบันแน่นอน เชื่อสิ อาทิ นับถอยหลังเข้าห้องสอบ (รวมถึงฟังผลสอบ) รอคิวพรีเซนต์งาน เครียดเหมือนขี้จะแตก เมื่อไหร่มันจะจบ ทันทีที่สอบเสร็จ จะเล่นเกมยันเช้า ดูซีรีส์ย้อนหลังห้าสิบอีพีซ้อน นอนหลับยาวๆ ทำตัวบ้าบอให้สมกับที่ผ่านมาถูกจำกัดไม่ได้ทำ
เงินเดือนออกวันไหนล่ะก็ ลาก่อน บะหมี่ห่อสิ้นคิด ทั้งบุฟเฟ่ต์มาสี่จ่ายสาม กาแฟแก้วละสองร้อย ห้างเปิดใหม่ หนังเรื่องใหม่ คอยดู เดี๋ยวเจอกัน … รวมถึงค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ตฯ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต ค่าเช่าห้องด้วย
(อนึ่ง เงินเดือนก็เหมือนเมนส์ มาสามวันเดี๋ยวก็หมด)
คอยรถไฟฟ้ามาสี่ชั่วโมง เริ่มจะหงุดหงิด (ว่าแต่ทำไมใจเย็นคอยได้ตั้งสี่ชั่วโมงครับ เป็นผมจะโบกแท็กซี่ตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้วครับ)
ความอดทนขณะเฝ้าคอยเหล่านี้ หลายครั้งก็ถูกนำไปใช้เป็นแรงผลักดันที่ดีได้เหมือนกัน พยายามคิดถึงสิ่งที่ปรารถนาในภายหลังเข้าไว้ จะได้มีพลังฮึดสู้ ฟันฝ่าวันนี้ไปให้ได้ ดาราชั้นนำลดหุ่นเพื่อเล่นหนัง แน่นอนว่าการคุมอาหารไม่สนุกเลย ต้องออกกำลังเป็นบ้าเป็นหลัง ถามว่าแรงใจมาจากสิ่งไหน บางทีไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวปิดกล้องเมื่อไหร่ จะกินให้ชาติล่มจมเลย ก็ถือเป็นเรื่องราวดีๆ
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบการรอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ยิ่งแก่ยิ่งรู้สึกว่าเส้นความใจเย็นเพื่อรอคอยของตัวเองลดต่ำลงทุกที และหากมันไร้เหตุผลเกินจะรับด้วยอีกก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ซึ่งนั่นไม่เคยทำให้รู้สึกดี บ่อยครั้งก็ไม่ดีเอามากๆ ชาวบ้านพลอยจะซวยตาม กระทั่งวันหนึ่งมีคนบอก ว่าภาวะผีบ้าของผมนั้นเกิดจากจิตปรุงแต่งไปเอง คือปัญหามันมีจริงแหละ แต่ที่หนักกว่านั้นคืออารมณ์ จะถูกชักจูงไปสุดโต่งทางไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งนั้น (อืม ยิ่งพูดยิ่งเซน)
อธิบายให้มนุษย์ขึ้นอีกนิดคือ เราสามารถเลือกจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ เพื่อเอาไว้รับมือกับความงี่เง่าจากสิ่งรอบข้างซึ่งอันนั้นอาจเลือกไม่ได้ ที่สำคัญ ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง ชอบหรือไม่ชอบการรอคอย เราก็ยังคงต้องอยู่กับมันเสมอในทุกๆ วัน ฝรั่งเรียกว่า That’s life หมายถึง ชีวิตก็งี้แหละวะ อย่าไปอินกะมันมาก
(เอ๊า ปลงกันดื้อๆ)
น้าเน็ก
http://www.thairath.co.th/content/500472

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

คุณกำลังใช้ชีวิตเพื่อตัวคุณเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น



คุณต้องมองไปในกระจกและคิดให้ได้ว่า คุณกำลังใช้ชีวิตเพื่อตัวคุณเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น - Taylor Swift

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

มันดีจริงๆที่จะมีใครสักคนในชีวิต...



มันดีจริงๆที่จะมีใครสักคนในชีวิตที่สามารถทำให้คุณยิ้มได้แม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่ได้อยู่ข้างๆคุณก็ตาม

It's been a long day without you my friend And I'll tell you all about it when I see you again. We've come a long way from where we began.. Oh I'll tell you all about it when I see you again..
.. When I see you again//^_@
source: 


จากแฟนตัวจริง...



จากแฟนตัวจริง วันหนึ่งกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า 'กิ๊ก'

http://www.thairath.co.th/content/498703


“หนูกับแฟนเลิกกันมา 3 ปีกว่าแล้วค่ะ เพราะอยู่ไกลกัน ทะเลาะกันบ่อยมาก ต่างคนต่างคิดไปเอง จนพี่เขามีคนใหม่ ซึ่งมันก็เป็นความผิดของหนูเอง เราชอบประชดกัน จนมีวันหนึ่งหนูประชดเขา ให้เขาไปจีบน้องคนหนึ่ง ถ้าคิดว่าจะจีบติด (คือน้องคนนั้นเขาอายุห่างกับแฟนหนูมาก คือแฟนหนูอายุ 26 แล้วน้องคนนั้นเขาอายุ 17 ซึ่งตัวหนูคิดว่ายังไงน้องเขาคงไม่ชอบแฟนหนู แต่หนูคิดผิดค่ะ เขาคบกันจริงๆ แล้วที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้น น้องคนนั้นเขาก็ชื่อเดียวกับหนู หนูพยายามหายไปจากชีวิตเขา แต่ใจจริงก็ยังตัดเขาไม่ได้ เหมือนคนบ้า เวลาแอบเข้าไปดูเฟซฯ เขา เห็นเขาบอกรักกัน มันเป็นคำพูดเดียวกับที่เคยใช้กับหนู ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่มาก จนหนูเองก็เกลียดชื่อตัวเองไปเลย
พอเวลาผ่านไปเหมือนหนูเริ่มทำใจได้ที่จะไม่มีเขาในชีวิต แต่มันก็ไม่ได้ง่าย เขาพยายามติดต่อกลับมาตลอด เหมือนเป็นห่วงหนู พยายามพูดถึงแต่เรื่องเก่าๆ พอความรู้สึกเก่าๆ มันย้อนกลับมา ทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย สุดท้ายเขาก็หายไป มาๆ หายๆ ตลอดตั้งแต่เลิกกัน จนหนูเริ่มคิดว่าตัวเองชิน พยายามหลอกตัวเองว่าหนูอยู่ได้ แต่ทุกครั้งที่เขาโทรมามันก็ยากที่จะไม่กดรับ แล้วหนูก็ต้องเจ็บเหมือนเดิมทุกๆ ครั้ง หวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับมาเลือกหนู เหมือนที่เขาบอก เขาบอกให้หนูรอเขาเลิกกับน้องคนนั้น รอให้น้องคนนั้นทำผิดก่อน เขาจะกลับมาหาหนู หนูรู้ว่าเขากำลังหลอกหนู แต่หนูก็ยอม หนูยังรักเขามาก จนกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครอีก เขาบอกว่าเขาจะไม่หายไปอีก ขอแค่ให้หนูเข้าใจเขา เวลาเขาอยู่กับน้องคนนั้นเขาก็จะไม่โทรหาหนู หนูรู้ว่าหนูกำลังทำผิด รู้ว่าสิ่งที่ทำมันบาป แต่หนูก็รักเขามาก ทั้งๆ ที่ในใจลึกๆ หนูก็รู้ว่าเขากำลังหลอกหนู”
การเดินออกจากชีวิตคนที่เรารัก เป็นเรื่องยากอยู่แล้วค่ะ ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้ควรค่าให้เรารักขนาดนี้ด้วยซ้ำ น้องย้อนกลับไปอ่านทุกประโยคที่น้องเล่ามา ชี้ซิว่ามีบรรทัดไหนที่บอกว่าเขารักเราบ้าง อยู่ไกลกัน ทะเลาะกันบ่อยมาก ประชดกัน มีผู้หญิงคนใหม่ แถมโชว์เราด้วยว่าเขาหลอกผู้หญิงคนนั้นอยู่นะ รออีกหน่อย เลิกกันเมื่อไรจะกลับมา ถามจริงๆ เขาสูงค่าพอจะเป็นรางวัลแห่งการรอคอยของเราหรือ? ดิ้นทุรนทุรายให้ได้ผู้ชายหลายใจมา 1 คน มันคุ้มตรงไหน? ต่อให้เขาให้ความหวัง หรือเรายังพยายามหลอกตัวเองอยู่ก็ตาม สิ่งที่น้องมองข้ามคือ ผู้หญิงคนนั้นรู้ไหมว่าผู้ชายมีแฟนเก่าเป็นกิ๊ก พี่ว่าเขาไม่บอกเพราะพยายามปกป้องหัวใจผู้หญิงคนนั้นมากกว่าเรา  
เขาวางตำแหน่งไว้ชัดเจน คนนั้นคือของจริง คนที่เขาเคยทิ้งเป็นของตายซึ่งหายใจเองได้ทุกวัน อยากมาเขาก็มา ถ้าไม่มีเวลาก็หายเงียบไป โทรกลับมาเมื่อไร เราก็ไม่ได้หายไปไหน stand by ตลอด แถมมีคุณสมบัติเป็นกิ๊กคุณภาพ พยายามเข้าใจว่าเวลาที่เขาอยู่กับแฟน ห้ามโทรหา ห้ามปรากฏตัว กดปุ่มหายหัวไปเลยได้ยิ่งดี เราอยู่ในที่ทางที่เขาซ่อนไว้ได้เต็มที่ แล้วมันมีเหตุผลข้อไหนที่เขาจะไล่เราไป คนเห็นแก่ตัว มองเห็นแต่หัวใจตัวเอง ไม่แคร์ความรู้สึกใคร น้องจะเจ็บปวดแค่ไหนไม่ได้มีผลอะไรต่อใจเขา กับผู้หญิงคนใหม่ ก็ใช่ว่าจะรักมาก รักมากแค่ไหนเชียว มีเธอคนเดียวยังไม่ได้เลย ผู้หญิงทุกคนเจ็บปวด เพราะทุ่มเทความรักให้กับคนเห็นแก่ตัวและไม่รู้จักพอ รอให้เขารัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักเป็นไหม รอบตัวมีผู้หญิงคนนั้นคนนี้ แค่สนองตอบต่อความไม่รู้จักพอของเขาเท่านั้นเอง
              
ตอนนี้น้องแค่ผิดถูกรู้หมด เหลืออดไม่ได้อย่างเดียว ทางออกมี มันอยู่ที่น้องยังไม่ยอมออก ไม่ได้เป็นอันดับ 1 ขอเป็นซะหนึ่งอันดับก็ยังดี ตอนมีเรายังทิ้งไปมีคนอื่นได้ ถ้าเขากลับมาเมื่อไร อันนั้นยิ่งน่ากลัว เพราะไม่รู้หัวใจเราจะบอบช้ำเรื่องเดิมๆ กับคนเดิมๆ อีกไหม คนเคยทิ้งเราไป จะเอาอะไรมามั่นใจว่าเขาจะไม่ทำอย่างเดิมอีก อีกอย่าง อยู่กับเราก็หลอกเรา บอกรักหน้าเฟซฯ กับผู้หญิงคนนั้น มันก็คือหลอกเหมือนกันไม่ใช่หรือ คนที่หลอกไปหลอกมา ควรค่าจะเอาหัวใจไปไว้ที่เขาหรือเปล่า รักเขา ก็อย่าลืมรักตัวเรา อย่ายอมเป็นของแถมในชีวิตใคร จะรักคนอื่นได้อีกไหมยังไม่ต้องรีบค่ะ แค่ใช้สติประคองตัวให้รอดจากเรื่องนี้ก่อน หัวใจแข็งแรงเมื่อไร ค่อยเลือกใครอีกทีก็ไม่สาย
              
เหตุผลบางอย่างพี่แสนจะไม่เข้าใจ “รักเขามากค่ะ เขาก็ทำเราเจ็บมากจนไม่กล้าเริ่มมีความรักกับใครอีกเพราะกลัว” แล้วสิ่งที่เป็นอยู่ไม่น่ากลัวกว่าหรือ เหมือนเดินชนกำแพงจนหัวแตกเลือดสาด ก็ยังเดินต่อไป เพราะกลัวว่าเปลี่ยนเส้นทางใหม่แล้วจะชนกำแพงอีก เอ้า!! ควรลองซะหน่อยไหม บางทีแค่เบนออกมาจากเส้นทางเดิม ก็เริ่มเจอสิ่งดีๆ สิ่งใหม่ที่ไม่ทรมานหัวใจเราเท่าเดิมแล้ว อย่าหาข้ออ้างเพียงเพื่อให้เรายอมอยู่ในที่เก่าๆ คนเก่าๆ ทั้งที่ตอนนี้เขามีคนใหม่ของเขาไปแล้ว อีกหน่อยเจอคนที่รักจริง เรามีเขาคนเดียว เขารักเราคนเดียว น้องจะรู้ว่ามีอีกหลายสิ่งที่ดีกว่าการเดินหน้าตั้งตารอเวลาเหลือๆ ของเขากับแฟนตั้งเยอะ    
                
ถ้ายอมเจ็บแล้วให้มันจบ วันนี้อาจร้องไห้เสียใจ ขาดเขาเราไม่ตาย แค่หายใจต่อไม่ค่อยได้ แต่ถ้าผ่านตรงนี้ไป วันหนึ่งน้องจะคิดขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจแบบนี้ ดีกว่าร่วมมือกับผู้ชายเห็นแก่ตัวทรยศแฟนของเขา และยังเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เคยทรยศเรา ลดตำแหน่งตัวจริง ไม่อยากทิ้ง เลยเก็บไว้เป็นตัวสำรอง มองมุมไหน ก็ยังบอกได้คำเดิม คนบางคนการไม่ได้เขามา คือเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิต 
ดีเจพี่อ้อย


วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

10 ความแตกต่างของคนที่ซาบซึ้งในชีวิตกับคนที่ไม่ซาบซึ้งในชีวิต

10 ความแตกต่างของคนที่ซาบซึ้งในชีวิตกับคนที่ไม่ซาบซึ้งในชีวิต

คนเรามีสองประเภท คนที่รู้สึกในทุกๆ วันว่า เราโชคดีแล้วที่มีชีวิตแบบนี้ ซาบซึ้งในชีวิตที่คุณยังมีลมหายใจอยู่ ได้ตื่นมาเจอคนที่เรารัก ได้ทำงานที่เราชอบ และคนอีกประเภทคือคนที่ไม่ คนที่ไม่ใช้ชีวิตให้คุ้มอย่างซาบซึ้ง จนกระทั่งคุณมารู้ทีหลังว่าคุณเหลือเวลาเพียงน้อยนิด เลยขอเอา 10 “ความแตกต่าง” ของคนที่ซาบซึ้งในชีวิต กับคนที่ไม่ มาฝากกัน 

1. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต ไม่ทำงานที่เขาเกลียด
เพราะการสละเวลากว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อทำงานที่เขาไม่ชอบ ไม่เป็นการ สละเวลาที่มีค่าในชีวิตของเขา ที่เขาสามารถใช้เวลาทุกนาทีไปกับสิ่งที่เขาทำแล้วมีความสุขมากกว่านี้

2. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต ไม่คบกับคนที่ไม่ดีกับเขา
แน่นอน โลกนี้ เราเจอคนมากมาย ทั้งดีและไม่ดี แต่คนที่ไม่ดี จะไม่เคยสร้างอะไรดีๆ ให้กับชีวิตเราเลย เพราะฉะนั้น หากคุณเคารพตัวคุณเองมากพอ คุณจะไม่เสียเวลากับคนที่ทำไม่ดีกับคุณ

3. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต ไม่เดทคนที่แย่
เขาจะพยายามหาคนที่ดีกับเขาที่สุด ถ้ารู้ว่าไม่ดี ก็ลาจากกันเสีย การตกหลุมรักคนผิด เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องเรียนรู้ให้ไว และไม่เสียเวลามากเกินไป เพราะเวลาของคุณมันมีค่ากว่าการมาทนกับคนที่ไม่ดี

4. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต จะเรียงลำกับความสำคัญในชีวิต
เพราะเวลามีค่ามาก การเรียงลำดับความสำคัญว่าควรทำอะไรก่อนหลังคือสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เสมอ

5. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต ไม่มองข้ามชีวิตของคนอื่น
คนที่ซาบซึ้งในชีวิต ไม่ใช่แค่ซาบซึ้งชีวิตของคุณเอง แต่เป็นชีวิตของคนอื่นๆ ด้วย และรวมถึง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกเช่นเดียวกัน

6. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าแม้เพียงวันเดียว
เพราะเขารู้ว่าเวลาเปรียบเหมือนพลังงานของชีวิต เมื่อไหร่ที่เวลาหมด ชีวิต ความฝัน ทุกอย่างที่เขามีจะดับตามไปด้วย เพราะฉะนั้น คนที่ซาบซึ้งในชีวิต จะใช้เวลาทุกนาทีกับชีวิต คุ้มมาก และไม่เคยเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไร

7. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต มองย้อนกลับไปในอดีตบ้าง แต่ไม่จมอยู่กับอดีต
มันคือความทรงจำที่ดีเท่านั้น มันคือบทเรียนที่ดีเท่านั้น แต่อดีต ไม่สามารถทำให้พวกเขา ยึดติดและไม่ก้าวหน้าต่อไปได้

8. คนที่ซาบซึ้งในชีวิตจะตั้งคำถามในชีวิตเสมอ
เพราะ คนที่ซาบซึ้งในชีวิต จะเข้าใจความสำคัญความรู้ และการเรียนรู้ และการตั้งคำถาม และการหาคำตอบคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่สำคัญ

9. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต บางทีก็ใช้ชีวิตอย่างเร็วๆ และช้าๆ เพื่อเห็นภาพองค์รวมทั้งหมด
การใช้ชีวิตในแบบเดียว อารมณ์เดียว ตามคำสอนของคนเดียว สิ่งนี้จะทำให้คุณไม่สามารถเห็นภาพองค์รวมของชีวิตได้ทั้งหมด ซึ่งวิธีที่ดี คือ การหาจุดสมดุลของการใช้ชีวิตหลากหลายแบบ ที่คุณต้องหาส่วนผสมของคุณเอง

10. คนที่ซาบซึ้งในชีวิต จะรักตัวเองมาก
เพราะเขารักชีวิต เขาเลยรักตัวเอง และนี่คือสิ่งเดียวที่เขาใช้ชีวิตอยู่ คือเพื่อรักชีวิตของเขา ที่เขาโชคดีได้มันมา ถ้าวันนี้คุณยังไม่รักตัวเอง ลองเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวคุณเองสิ และคุณจะกลายเป็นคนที่ ซาบซึ้งในชีวิตมากขึ้น

H/T: Elitedaily

ขอขอบพระคุณเจ้าของเรื่องและผู้ที่แชร์เรื่องนี้มาให้อ่าน
ชุลีพร ช่วงรังษี
www.facebook.com/OhLifeStory

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรื่องของผู้หญิงมักง่ายกับผู้ชายมักมาก


เรื่องของเมียน้อย….

ศาสตราจารย์นงพงา ลิ้มสุวรรณ
รื่องของเมียน้อย….น้อย
“เมียน้อย” ……เมื่อเอ่ยคำนี้กับใครๆ ทุกคนก็จะมองว่านี่คือตัวปัญหาที่จะคอย บ่อนทำลายสถาบันครอบครัว ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดปัญหานี้ขึ้นในครอบครัว แต่อย่างไรก็ดีปัญหานี้ ก็ยังคงเป็นปัญหาได้อย่างได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายมาตลอดตั้งแต่อดีตกาล ถึงปัจจุบัน และคาดว่าในอนาคตต่อไปก็ยังคงเกิดขึ้นได้ ถ้าเรายังเพียงแค่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับโดยที่ไม่สนใจจะทำความรู้จักและศึกษา เพื่อหาทางป้องกันปัญหานี้อย่างจริงจัง
มารู้จักเมียน้อยกันเถอะ
เมียน้อย คือผู้หญิงที่ใช้ชีวิตกับสามีอย่างเมียกับชายที่มีเมียอยู่แล้ว
 สาเหตุการต้องมาเป็นเมียน้อย
โดยทั่วไปมักจะคิดกันว่าผู้หญิงที่ต้องมาเป็นเมียน้อยนั้น เป็นเพราะต้องการความสุขสบาย ไม่ต้องลำบากสร้างฐานะตัวเองเหมือนกับการเป็นเมียหลวง แต่จากผลการศึกษา พบสาเหตุ ว่ามีดังต่อไปนี้ (เรียงตามลำดับ)
  1. ต้องการความรัก ความอบอุ่น และอยากมีที่พึ่งพิงทางใจ เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดในกลุ่มเมียน้อย เนื่องจากในอดีตพวกนี้ขาดความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัว มาจากครอบครัวที่แตกแยก
  2. ถูกสามีหลอกลวงว่ายังไม่มีครอบครัว ยังไม่ได้แต่งงาน หรือหลอกลวงไปข่มขืน
  3. ต้องการเงิน ต้องการผู้อุปการะ
  4. อื่นๆเช่น
  • มีปัญหาทางบุคลิกภาพ เช่น ต้องพึ่งพิงผู้อื่น รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีคุณค่า มีวุฒิภาวะต่ำกว่าอายุ
  • ค่านิยมของผู้หญิงที่ต้องการมีสามีเพียงคนเดียว เมื่อรู้ความจริงว่าสามีมีภรรยา อยู่ก่อนแล้ว จึงต้องยอมรับความเป็นเมียน้อย
ความรู้สึกของเมียน้อย
จากการศึกษาถึงความรู้สึกต่อการเป็นเมียน้อย ส่วนใหญ่จะรู้สึกผิดหรือเสียใจ เพราะความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องสามีมีเมียน้อย เป็นเรื่องที่ไม่สมควร มีบางส่วนที่รู้สึกโกรธที่ถูกหลอกลวง บางคนทั้งโกรธและรู้สึกผิดรวมกัน มีจำนวนน้อยที่ไม่รู้สึกอะไร
ป้องกันปัญหาเมียน้อยอย่างไรดี
ปัญหาเมียน้อยนี้ควรจะเน้นการป้องกันเป็นสำคัญ เพราะถ้าเกิดปัญหาเมียน้อย กับครอบครัวใดขึ้นมาก็เป็นการยากที่จะจัดการกับชีวิต ครอบครัวเพราะไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเลิกรา กันไป ซึ่งก่อให้เกิดความปวดร้าวทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นควรหันมาให้ความสนใจในด้านป้องกันจะเป็นประโยชน์มาก
  1. บิดามารดาควรเลี้ยงดูบุตรอย่างใกล้ชิด ให้ความรักความอบอุ่น อย่างเพียงพอ ไม่นำบุตรไปให้คนอื่นเลี้ยง หรือไม่นำเด็กเล็กไปอยู่โรงเรียนประจำ ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กโตขึ้นมาแบบขาดรัก และต้องไปแสวงหาทดแทนในอนาคตที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
  2. บิดามารดาควรอบรมบ่มนิสัยให้เด็กเกิดบุคลิกภาพที่ดี เช่นมีความเป็น ตัวของตัวเอง มีวิจารณญาณที่ดี ให้บุตรรู้เท่าทันคนโดยมีวุฒิภาวะให้สมอายุ ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่หลงเชื่อคนง่ายๆโดยไม่ตรวจสอบให้มีความสามารถเลือกคู่ครองให้ดีจะได้ไม่ผิดหวังในคู่ครอง
  3. ดูแล เอาใจใส่ เข้าใจ ให้ความรักซึ่งกันและกันของสมาชิกในครอบครัวเพื่อป้องกันปัญหาความไม่เข้าใจ แตกแยก อันจะนำมาซึ่งผลเสียขาดความอบอุ่นในครอบครัว
  4. ช่วยกันพัฒนาสังคมช่วยกันแก้ไขความยากจน เพื่อให้ประชากรในชาติช่วยตัวเองได้ เลี้ยงดูตัวเองได้ เพื่อลดปัญหาการที่เด็กสาวต้องกลายเป็นเมียน้อยหรือโสเภณี
ที่มา. http://www.ramamental.com/medicalstudent/generalpsyc/mistress/

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้ความจริงทุกอย่างที่เข้าใจ

ชีวิตที่ดีกับ 4 อย่า (ชีวิตคิดบวก)

1. อย่าเป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
'กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส 'จิตประภัสสร'
 
ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี'แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข'

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา

'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน' คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์

ฉะนั้น เราต้องถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น 'ไฟสุมขอน' (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป

3. อย่าเสียเวลากับความหลัง

90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลงปลงไม่เป็น' มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆไว้ที่หลัง ขึ้นไปด้วยความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ 'อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากกรีดปัจจุบัน' 'อยู่กับปัจจุบันให้เป็น' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี 'สติ' กำกับตลอดเวลา

4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

'ตัณหา' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดีเหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม' 

ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลาไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร 
แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ ของโทรศัพท์ 

เราต้องถามตัวเองว่า 'เกิดมาทำไม' 'คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน 'ตามหา 'แก่น' ของชีวิตให้เจอ' คำว่า 'พอดี' คือ ถ้า 'พอ' แล้วจะ 'ดี' รู้จัก 'พอ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

ขอบคุณข้อคิดดีๆจากFB

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ใจที่เริ่มถอดวาง


บางครั้ง ...
การยอม ก็หมายถึง
การเราเองสามารถควบคุมตัวเอง
ไม่ให้ไปใส่ใจบางสิ่งบางอย่าง
ที่เข้ามากระทบอารมณ์และความรู้สึก
และปล่อยให้สิ่งเหล่านั่นผ่านไป


จำไว้ว่า .. การยอมแพ้ .. ไม่ใช่ ความอ่อนแอ
แต่อาจหมายความว่า "เราเข้มแข็ง" พอ


cr.Supermom
cr.pic: ตะวันลับฟ้าเมื่อตอนเย็นๆ ช่างเป็นเวลาที่ใจหาย by tw. 


นั่นสิ!